วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

โรคไข้หวัดนก

ที่มา ของชื่อ “โรคไข้หวัดนก” เมื่อเดือนพฤษภาคม 2540 ฮ่องกงได้แพร่ข่าวของเด็กชายคนหนึ่งอายุ 3 ปี ป่วยด้วยอาการทางระบบทางเดินหายใจและเสียชีวิตภายในเวลา 12 วันต่อมา จากประวัติเด็กคนนี้พบว่าได้สัมผัสกับไก่ป่วย ระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2540 ซึ่งช่วงเวลานั้นมีการระบาดของโรค avian influenza ในฟาร์มไก่ 3 แห่ง ทำให้ไก่ตายไปประมาณ 4,500 ตัว ซึ่งไก่ที่ตายตรวจพบเชื้อไวรัส HPAI ชนิด H5N1 ส่วนผลการตรวจตัวอย่างที่เก็บจากเด็กขณะป่วยพบเชื้อไวรัส H5N1 ซึ่งเป็นชนิดที่พบในสัตว์ปีกเท่านั้น ไม่เคยพบในคนมาก่อน (ข้อมูลจาก Seminar “ไข้หวัดนกกับดักเศรษฐกิจตัวใหม่” เมื่อวันเสาร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2547 เวลา 13.30-16.30น. ณ ห้องสุธรรมอารีกุล ตึก 50 ปี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กทม.) สื่อมวลชนในฮ่องกงเรียกชื่อโรคที่เด็กป่วยในครั้งนั้นว่า “Bird Flu” จึงทำให้สื่อมวลชนในประเทศไทยใช้คำว่า “ไข้หวัดนก” ประชาชนจึงเริ่มรู้จักคำว่า ไข้หวัดนก ตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา ทั้งๆ ที่ไม่พบโรคไข้หวัดนกในประเทศไทย จนกระทั่งเมื่อเดือนตุลาคม 2546 มีข่าวไก่ป่วยตายจำนวนมากที่ จังหวัดนครสวรรค์ และแพร่ระบาดไปประมาณ 24 จังหวัด ในเบื้องต้นยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าไก่เป็นโรค Avian Influenza ชนิด H5N1 หรือไม่ จนกระทั่งประมาณหลายสัปดาห์ต่อมาจึงมีการยืนยันผลการชันสูตรอย่างเป็นทางการว่า ไก่เป็นโรคตายเนื่องจากติดเชื้อไวรัส Avian influza ชนิด H5N1 ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของไทยที่พบโรคไข้หวัดนก
สาเหตุเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ซึ่งเป็นชนิด และสายพันธุ์ที่ทำให้เกิดโรคเฉพาะสัตว์ปีก เช่น เป็ด ไก่ นก ฯลฯ ติดต่อกันในสัตว์โดยการหายใจระยะฟักตัว ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนเกิดอาการประมาณ 1-3 วันอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ แต่จะรุนแรงกว่า คือ มีไข้สูง หนาวสั่น ปวดศรีษะรุนแรง ปวดกล้ามเนื้อทั้งตัว อ่อนเพลียมาก ไอมาก เจ็บคอน้ำมูกไหล หายใจลำบาก อาจมีอาการอื่นแทรกซ้อน เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง ปวดบวม เป็นต้นการติดต่อมาสู่คนโดยการสัมผัสกับสารคัดหลั่งของสัตว์ปีกที่ป่วย เช่น น้ำมูก น้ำลาย อุจจาระ แต่ยังไม่พบการติดต่อจายคนไปสู่คน หรือจากการรับประทานเนื้อสัตว์ ไข่ที่ปรุงสุกแล้ว
การรักษาหากมีอาการอยู่ในข่ายที่สงสัย โปรดไปพบแพทย์ พร้อมให้รายละเอียดเกี่ยวกับการเดินทาง และการสัมผัสสัตว์ปีกการป้องกันควรปฏิบัติตนเช่นเดียวกับการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ดังนี้รักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้สุขภาพเสื่อม เช่น สุรา ยาเสพติดต่างๆ รวมถึงการเที่ยวที่อาจทำให้เกิดการติดโรคทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ หลีกเลี่ยงการเข้าไปอยู่ในสถานที่แออัด เช่น โรงมหรสพ ห้องสรรพสินค้าหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย เวลาไอหรือจาม ต้องปิดปากหรือจมูกทุกครั้ง ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม เมื่อเจ็บป่วย ต้องผักผ่อน และดื่มน้ำอุ่นมากๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ป่วย หรือสารคัดหลั่งของสัตว์ที่ป่วยโดยตรง ให้ใช้อุปกรณ์ป้องกันร่างกาย เช่น ผ้าปิดจมูก ถุงมือแว่นตา รองเท้าบู๊ท และต้องหมั่นล้างมือบ่อยๆ ชำระร่างกายให้สะอาดทุกครั้งภายหลังจากการจับสัตว์ทุกชนิด

วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

ตะคริว

ตะคริวสาเหตุ
ใช้กล้ามเนื้อมัดนั้นหนักเกินไป
ความหนาวเย็น
การสูญเสียน้ำและเกลือแร่(อาเจียน ,ท้องเสีย ,เหงื่อออก) การปฐมพยาบาล
ยืดกล้ามเนื้อส่วนนั้นออกโดย
เป็นที่มือ : ยึดนิ้วมือ ดัดปลายนิ้ว
เป็นที่เท้า : ยืดนิ้วเท้า ให้ยืนเขย่ง
เป็นที่ต้นเท้า : นั่งลง , เหยียดเท้า ,กดที่หัวเข่าปละช่วยนวดเท้า
เป็นที่น่อง : นั่งลง ,ยืดขา
ถ้าเป็นเพราะเหงื่อ เสียน้ำให้ดื่มน้ำเกลือ(เกลือ 1 ช้อนชา ผลมน้ำ 1 ขวดแม่โขง)
ที่มาคู่มีอประชาชน เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ"การปฐมพยาบาลเบื้องต้น "สถาบันการแพทย์ด้านอุบัติเหตุและสาธารณภัย กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

วิธีตรวจเช็คน้ำยาแอร์ด้วยตัวเอง..(จะได้ไม่โดนช่างหลอก)..
วันนี้มีวิธีตรวจเช็คน้ำยาแอร์ด้วยตัวท่านเองโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือใดๆทั้งสิ้นมาฝาก เพื่อว่าจะได้รู้น้ำยาแอร์ที่บ้านเราหมดหรือยัง ยังมีอยู่มั๊ยมีมากมีน้อย มาเริ่มขั้นตอนกันเลยครับ อันดับแรก เปิดแอร์ ตั้งอุณหภูมิสัก 20 องศา รอ 15 นาที ให้ตัวในบ้านมีลมเย็นออกมา ทีนี้เราก็ต้องไปเช็คน้ำยาแอร์ที่ตัวนอกบ้านหรือที่เราเรียกว่าตัวคอมเพรสเซอร์ ให้สังเกตุว่าพัดลมของตัวนอกบ้านหมุนมั๊ย ตามหลักเมื่อตัวในบ้านจ่ายไฟไปให้ตัวนอกบ้าน พัดลมและคอมเพรสเซอร์ต้องทำงาน ทีนี้ก็เอาหลังมือไปอังที่หน้าพัดลมคอล์ยร้อนนะครับ ให้เอาไปอังด้านหน้านะครับ ไม่ใช่แหย่เข้าไป อันตรายนะครับ ถ้าแอร์ทำงานปกติน้ำยาแอร์เยอะลมที่ออกมาต้องอุ่นมากถึงร้อนนะครับ อย่างนี้ปกติครับ ถ้าลมที่ออกมาเย็นแสดงว่าน้ำยาแอร์น้อยหรือคอมเพรสเซอร์ไม่เดิน อันนี้ต้องเรียกช่างครับ ลองเอาไปทำดูครับหวังว่าไม่ยากเกินไปนะครับ มีข้อสงสัยตรงไหนสอบถามได้ครับ 081-6345681 ยินดีตอบทุกข้อสงสัยครับ

น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์

น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่:
ป้ายบอกทาง, ค้นหา
น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ (อังกฤษ: motor oil, engine oil) หรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า น้ำมันหล่อลื่น หรือ น้ำมันเครื่อง ประกอบไปด้วย 2 ส่วนที่สำคัญคือ น้ำมันพื้นฐาน และสารเพิ่มคุณภาพ น้ำมันเครื่องมีหน้าที่ลดแรงเสียดทานของวัตถุชิ้นที่เสียดสีกัน ระบายความร้อนของเครื่องยนต์ เคลือบช่องว่างระหว่างผิวสัมผัส ทำความสะอาดเขม่าและเศษโลหะภายในเครื่องยนต์ ป้องกันการกัดกร่อนจากสนิมและกรดต่างๆ และป้องกันกำลังอัดของเครื่องยนต์รั่วไหล เป็นต้น

การผลิต
แหล่งที่มาของน้ำมันพื้นฐานที่ใช้ทำมันเครื่องมี 3 แหล่งคือ
น้ำมันที่สกัดจาก
พืช
น้ำมันที่สกัดจาก
น้ำมันดิบ
น้ำมันสังเคราะห์ น้ำมันชนิดนี้จะให้คุณภาพของน้ำมันเครื่องที่ดีที่สุด
น้ำมันหล่อลื่น
Lube Oil , Lubricating Oil ผลิตภัณฑ์ ที่ได้จากการกลั่น น้ำมันดิบ มีช่วงจุดเดือดระหว่าง 380-500 องศาเซลเซียส และเติมสารเพิ่มคุณภาพต่างๆ ในปริมาณเล็กน้อยเพื่อปรับปรุงสมบัติให้เหมาะสมสำหรับใช้งานหล่อลื่นแต่ละอย่าง เช่น ความหนืดโดยเยื่อบางๆ หรือเนื้อครีม ของน้ำมันหล่อลื่นจะเคลือบอยู่ระหว่างผิวของชิ้นส่วน 2 อย่าง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนโลหะที่มีการเคลื่อนไหวผ่านไปมา ทำหน้าที่ป้องกันการเสียดสีกันโดยตรง ขณะเดียวกันจะช่วยทำความสะอาด และระบายความร้อน โดยช่วยระบายความร้อนจากเครื่องยนต์ได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ แอดดิทีฟอื่นๆ ที่มักผสมลงไปด้วย ได้แก่ สารป้องกันสนิม และการกัดกร่อน เป็นต้น

มาตรฐานน้ำมันเครื่อง
มาตรฐานของ
สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ (Society of Automotive Engineer : SAE) ใช้ระบุความหนืด (ความข้นใส) ของน้ำมันเครื่อง ค่ายิ่งมากก็ยิ่งมีความหนืดมาก โดยแบ่งน้ำมันเครื่องออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ
เกรดเดียว (monograde) คือน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดค่าเดียว เช่น SAE 40 หมายความว่า ณ อุณหภูมิ 100
องศาเซลเซียส น้ำมันจะมีค่าความหนืดอยู่ที่ เบอร์ 40
เกรดรวม (multigrade) คือน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืด 2 ค่า เช่น SAE 20W-50 หมายความว่า ในอุณหภูมิ -25 องศาเซลเซียส น้ำมันจะมีค่าความหนืดอยู่ที่ เบอร์ 20 แต่เมื่ออุณหภูมิสูงถึง 100 องศาเซลเซียส จะเปลี่ยนค่าความหนืดเป็น เบอร์ 50
อักษร "W" ใช้เป็นตัวบ่งบอกว่าค่าความหนืดนี้เป็นเกรดฤดูหนาว (วัดที่ -25 องศาเซลเซียส) หากไม่มีจะเป็นเกรดฤดูร้อน (วัดที่ 100 องศาเซลเซียส)
มาตรฐานของ
สถาบันปิโตรเลียมอเมริกัน (The American Petroleum Institute : API) ใช้ระบุประเภทของเครื่องยนต์ และสมรรถนะในการปกป้องชิ้นส่วนของเครื่องยนต์ สำหรับเครื่องยนต์เบนซินใช้อักษร "S" (spark ignition) เช่น SA SC SD SE SF SG SH SI SJ ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลใช้อักษร "C" (compress ignition) เช่น CD CB ... CF4 บางครั้งเราอาจเห็นทั้ง "S" และ "C" มาด้วยกัน เช่น SG/CH4 หมายถึง น้ำมันเครื่องนี้เหมาะสำหรับการใช้กับเครื่องยนต์เบนซิน แต่ก็สามารถใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลได้ในระยะสั้น หรือ CH4/SG ก็จะกลับกันกับกรณีข้างต้นคือเหมาะสำหรับการใช้กับเครื่องยนต์ดีเซล
แต่ก็สามารถใช้กับเครื่องยนต์เบนซินได้ในระยะสั้น

สารกึ่งตัวนำ


สารกึ่งตัวนำ (semiconductor) คือ วัสดุที่มีคุณสมบัติในการนำไฟฟ้าอยู่ระหว่างตัวนำและฉนวน เป็นวัสดุที่ใช้ทำอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ มักมีตัวประกอบของ germanium, selenium, silicon วัสดุเนื้อแข็งผลึกพวกหนึ่งที่มีสมบัติเป็นตัวนำ หรือสื่อไฟฟ้าก้ำกึ่งระหว่างโลหะกับอโลหะหรือฉนวน ความเป็นตัวนำไฟฟ้าขึ้นอยู่กับอุณหภูมิ และสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่มีเจือปนอยู่ในวัสดุพวกนี้ ซึ่งอาจเป็นธาตุหรือสารประกอบก็มี เช่น ธาตุเจอร์เมเนียม ซิลิคอน ซีลีเนียม และตะกั่วเทลลูไรด์ เป็นต้น วัสดุกึ่งตัวนำพวกนี้มีความต้านทานไฟฟ้าลดลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเป็นลักษณะตรงข้ามกับโลหะทั้งปวง
ที่อุณหภูมิ ศูนย์ เคลวิน วัสดุพวกนี้จะไม่ยอมให้ไฟฟ้าไหลผ่านเลย เพราะเนื้อวัสดุเป็น
ผลึกโควาเลนต์ ซึ่งอิเล็กตรอนทั้งหลายจะถูกตรึงอยู่ในพันธะโควาเลนต์หมด (พันธะที่หยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม) แต่ในอุณหภูมิธรรมดา อิเล็กตรอนบางส่วนมีพลังงาน เนื่องจากความร้อนมากพอที่จะหลุดไปจากพันธะ ทำให้เกิดที่ว่างขึ้น อิเล็กตรอนที่หลุดออกมาเป็นสาเหตุให้สารกึ่งตัวนำ นำไฟฟ้าได้เมื่อมีมีสนามไฟฟ้ามาต่อเข้ากับสารนี้

ลักษณะภายนอก
มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม (จตุรัส หรือ ผืนผ้าก็ได้)
เป็นงานมีขา (Peripheral) หรือไม่มีก็ได้ งานไม่มีขา (Non-Lead) บางทีขาที่ว่าจะมีลักษณะกลม ๆ เรียกว่า บอล
ตัวงานจะมีลักษณะสีดำ (หรือใส (Clear resin) โดยส่วนมากจะดำ) เนื่องจากใช้เรซิ่นในการฉีดขึ้นรูป ภายในจะมีวงจรต่าง ๆ ใช้สำหรับงานต่าง ๆ กันไป

สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์
สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์ เป็นสารที่เกิดขึ้นจากการเติมสารเจือปนลงไปในสารกึ่งตัวนำแท้ เช่น ซิลิกอน หรือเยอรมันเนียม เพื่อให้ได้สารกึ่งตัวนำที่มีสภาพการนำไฟฟ้าที่ดีขึ้น สารกึ่งตัวนำไม่บริสุทธิ์นี้แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ สารกึ่งตัวนำประเภทเอ็น (N-Type) และสารกึ่งตัวนำประเภทพี (P-Type)

ชนิด
ก. สารกึ่งตัวนำประเภท เอ็น (N-Type)
เป็นสารกึ่งตัวนำที่เกิดจากการจับตัวของอะตอมซิลิกอนกับอะตอมของสารหนู ทำให้มีอิเล็กตรอนเกินขึ้นมา 1 ตัว เรียกว่าอิเล็กตรอนอิสระซึ่งสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระในก้อนผลึกนั้นจึงยอมให้กระแสไฟฟ้าไหลได้เช่นเดียวกับตัวนำทั่วไป
ข. สารกึ่งตัวนำประเภท พี (P-Type)
เป็นสารกึ่งตัวนำที่เกิดจากการจับตัวของอะตอมซิลิกอนกับอะตอมของอะลูมิเนียม ทำให้เกิดที่ว่างซึ่งเรียกว่า โฮล (Hole) ขึ้นในแขนร่วมของอิเล็กตรอน อิเล็กตรอนข้างโฮลจะเคลื่อนที่ไปอยู่ในโฮลทำให้ดูคล้ายกับโฮลเคลื่อนที่ได้จึงทำให้กระแสไหลได้

วันจันทร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2552

การป้องกันตนเองจากยุงลาย

การป้องกันตนเองจากยุงลาย

เมื่อโดนยุงลายจู่โจมเข้าให้แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือ หาวิธีต่าง ๆ ที่จะป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด ซึ่งทำได้หลายวิธี

- ควรกรุหน้าต่าง ประตู และช่องมด้วยมุ้งลวดตรวจตราซ่อมแซมฝาบ้าน ฝ้าเพดาน อย่าให้มีร่อง ช่องโหว่หรือรอยแตก เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้ามาในบ้าน

- เวลาเข้า - ออกควรใช้ผ้าปัดประตูมุ้งลาดก่อน เพื่อไล่ยุงลายที่อาจจะเกาะอยู่ตามที่ต่าง ๆ

- เก็บของในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะยุงลายชองไปหลบซ่อนตามมุมมืดของห้องและเครื่องเรือนต่าง ๆ ที่รก ๆ

- ขณะอยู่ในบ้านควรอยู่ในบริเวณที่มีลมพัดผ่านและมีแสงสว่างเพียงพอ

- ยุงลายจะชอบกัดตอนกลางวัน และมักเป็นช่วงที่คนหลับ ดังนั้นเวลาหลับควรกางมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวด เปิดพัดลมส่วยเบ่า ๆ ก็ช่วยไล่ยุงได้หรือถ้าหากที่บ้านมียุงมากจริง ๆ ก็ต้องพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่สักหน่อย ซึ่งควรใส่กางเกงขายาว เสื้อมีแขน เพื่อให้เหลือพื้นที่เปล่าเปลือยและเสี่ยงต่อการถูกยุงกัดน้อยที่สุด

- ใช้ยากันยุง ซึ่งมีวางขายอยู่หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น..

ยากันยุงชนิดขด ชนิดแผ่น ชนิดน้ำ ซึ่งต้องใช้ความร้อนช่วยในการระเหยสารออกฤทธิ์ ตอนนี้ในท้องตลาดมีวางขายอยู่หลากหลายยี่ห้อมาก ยากันยุงชนิดใช้ทาผิว ซึ่งมีทั้งชนิดครีม โลชั่น แป้งสารออกฤทธิ์หลักในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นสารเคมีจำพวก deet และสารสกัดจากพืช การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มทาผิวที่มี deet เป็นสารออกฤทธิ์หลักนี้ ก่อนซื้อต้องพิจารณาว่ามีสารออกฤทธิ์มากน้อยเพียงใด ผู้ใหญ่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet อยู่ระหว่าง 15-20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กไม่ควรเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และต้องใช้ตามคำแนะนำที่ระบุไว้ข้างกล่องอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ห้ามทาบริเวณตา (บางยี่ห้อก็ห้ามทาบริเวณผิวหน้า) ผิวที่มีรอยถลอกหรือมีแผลไม่ควรทาซ้ำในช่วงเวลาสั้น ๆ (ส่วนใหญ่ทางครั้งหนึ่งจะกันยุงได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง) ไม่ควรใช้ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ไม่ควรใช้กับแม่ตั้งครรถ์และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ไม่ควรทายากันยุงที่มือเด็กเพราะเด็กอาจเผลอขยี้ตาหรือหยิบจับอาหารใส่ปาก ซึ่งจะทำให้สารเคมีเข้สู่ร่างกาย

หลักทายากันยุงแล้วพบว่ามีอาการแพ้ เช่น เป็นผื่น ผิวแดง หรือรู้สึกร้อน ต้องหยุดใช้ทันที ล้างผิวบริเวณที่ทาด้วยน้ำกับสบู่ แล้วรีบไปพบคุณหมอพร้อมนำยากันยุงที่ใช้นั้นไปด้วยเพราะ deet อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ หากใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet ผสมอยู่ในสัดส่วนที่สูงมาก (เกิน 30 เปอร์เซ็นต์) และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ deet จะเป็นอันตรายหากกินเข้าไป บางรายอาจมีอาการทางสมอง ชัก และเสียชีวิตได้ การสูดดมไอระเหยของ deet เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดอาการวิงเวียน เพราะเหตุนี้จึงมีผู้ผลิตยากันยุงปลอด deet โดยใช้สารอื่น ๆ โดยเฉพาะสารที่สกัดได้จากพืช ที่แม้จะไม่ประสิทธิภาพในการไล่ยุงได้ดีเท่ากับ deet แต่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากกว่า เช่น ตะไคร้หอม ยูคาลิปตัส กระเทียม และมะกรูด ฯลฯ ซึ่งตอนนี้ก็หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด

ยาฉีดไล่ยุงชนิดกระป๋อง ที่มีวางขายนั้นมีทั้งแบบที่เป็นกระป๋องทรงกระบอกอัดน้ำยาเคมีสำหรับฉีดพ่นได้ทันทีเมื่อใช้หมดแล้วไม่สามารถเติมน้ำยาเคมีใหม่ได้ และแบบที่เป็นกระป๋องสี่เหลี่ยม ซึ่งต้องเติมน้ำยาเคมีลงในกระบอกฉีดและผู้ใช้ต้องสูบฉีดน้ำยาในขณะพ่นด้วยตัวเอง เมื่อน้ำยาเคมีหมดก็สามารถเติมน้ำยาใหม่ได้

ปัจจุบันสารเคมีกำจัดยุงมีทั้งชนิดสูตรน้ำมันและชนิดสูตรน้ำ ซึ่งชนิดสูตรน้ำจะปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อมมากกว่า รวมทั้งไม่ทำให้บ้านเรือนเปรอะเปื้อนด้วย

กำจัดยุงด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า มีทั้งชนิดที่เป็นกับดักไฟฟ้า ใช้ไฟบ้าน 220 โวลต์ โดยหลักการคือใช้แสงไฟล่อให้ยุงบินเข้าไปหากับดัก เมื่อยุงบินไปถูกซี่กรงที่มีไฟฟ้าจะถูกไฟฟ้าช็อตตาย

กำจัดยุงไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ มีรูปร่างคล้ายไม้เทนนิสแต่แทนที่จะเป็นเส้นเอ็นก็เป็นซี่ลวด ซึ่งเมื่อเปิดสวิตช์ก็จะมีกระแสไฟฟ้าผ่าน ผู้ใช้ต้องโบกให้ซี่ลวดถูกตัวยุง ยุงจะถูกไฟช็อตตาย

อย่างไรก็ตาม การกำจัดยุงลายเปรียบเหมือนการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำได้ยาก และเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าการลดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคไข้เลือดออก

การป้องกันตนเองจากยุงลาย

การป้องกันตนเองจากยุงลาย

เมื่อโดนยุงลายจู่โจมเข้าให้แล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องทำ คือ หาวิธีต่าง ๆ ที่จะป้องกันตนเองไม่ให้ถูกยุงกัด ซึ่งทำได้หลายวิธี

- ควรกรุหน้าต่าง ประตู และช่องมด้วยมุ้งลวดตรวจตราซ่อมแซมฝาบ้าน ฝ้าเพดาน อย่าให้มีร่อง ช่องโหว่หรือรอยแตก เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงลายเข้ามาในบ้าน

- เวลาเข้า - ออกควรใช้ผ้าปัดประตูมุ้งลาดก่อน เพื่อไล่ยุงลายที่อาจจะเกาะอยู่ตามที่ต่าง ๆ

- เก็บของในบ้านให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เพราะยุงลายชองไปหลบซ่อนตามมุมมืดของห้องและเครื่องเรือนต่าง ๆ ที่รก ๆ

- ขณะอยู่ในบ้านควรอยู่ในบริเวณที่มีลมพัดผ่านและมีแสงสว่างเพียงพอ

- ยุงลายจะชอบกัดตอนกลางวัน และมักเป็นช่วงที่คนหลับ ดังนั้นเวลาหลับควรกางมุ้งหรือนอนในห้องที่มีมุ้งลวด เปิดพัดลมส่วยเบ่า ๆ ก็ช่วยไล่ยุงได้หรือถ้าหากที่บ้านมียุงมากจริง ๆ ก็ต้องพิถีพิถันในการเลือกเสื้อผ้าสวมใส่สักหน่อย ซึ่งควรใส่กางเกงขายาว เสื้อมีแขน เพื่อให้เหลือพื้นที่เปล่าเปลือยและเสี่ยงต่อการถูกยุงกัดน้อยที่สุด

- ใช้ยากันยุง ซึ่งมีวางขายอยู่หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็น..

ยากันยุงชนิดขด ชนิดแผ่น ชนิดน้ำ ซึ่งต้องใช้ความร้อนช่วยในการระเหยสารออกฤทธิ์ ตอนนี้ในท้องตลาดมีวางขายอยู่หลากหลายยี่ห้อมาก ยากันยุงชนิดใช้ทาผิว ซึ่งมีทั้งชนิดครีม โลชั่น แป้งสารออกฤทธิ์หลักในผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มีทั้งที่เป็นสารเคมีจำพวก deet และสารสกัดจากพืช การใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มทาผิวที่มี deet เป็นสารออกฤทธิ์หลักนี้ ก่อนซื้อต้องพิจารณาว่ามีสารออกฤทธิ์มากน้อยเพียงใด ผู้ใหญ่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet อยู่ระหว่าง 15-20 เปอร์เซ็นต์ ส่วนเด็กไม่ควรเกินกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ และต้องใช้ตามคำแนะนำที่ระบุไว้ข้างกล่องอย่างเคร่งครัด ห้ามใช้กับเด็กอายุต่ำกว่า 4 ปี ห้ามทาบริเวณตา (บางยี่ห้อก็ห้ามทาบริเวณผิวหน้า) ผิวที่มีรอยถลอกหรือมีแผลไม่ควรทาซ้ำในช่วงเวลาสั้น ๆ (ส่วนใหญ่ทางครั้งหนึ่งจะกันยุงได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมง) ไม่ควรใช้ทุกวันติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ ไม่ควรใช้กับแม่ตั้งครรถ์และผู้สูงอายุ นอกจากนี้ไม่ควรทายากันยุงที่มือเด็กเพราะเด็กอาจเผลอขยี้ตาหรือหยิบจับอาหารใส่ปาก ซึ่งจะทำให้สารเคมีเข้สู่ร่างกาย

หลักทายากันยุงแล้วพบว่ามีอาการแพ้ เช่น เป็นผื่น ผิวแดง หรือรู้สึกร้อน ต้องหยุดใช้ทันที ล้างผิวบริเวณที่ทาด้วยน้ำกับสบู่ แล้วรีบไปพบคุณหมอพร้อมนำยากันยุงที่ใช้นั้นไปด้วยเพราะ deet อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้ หากใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี deet ผสมอยู่ในสัดส่วนที่สูงมาก (เกิน 30 เปอร์เซ็นต์) และใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ deet จะเป็นอันตรายหากกินเข้าไป บางรายอาจมีอาการทางสมอง ชัก และเสียชีวิตได้ การสูดดมไอระเหยของ deet เป็นเวลานานอาจก่อให้เกิดอาการวิงเวียน เพราะเหตุนี้จึงมีผู้ผลิตยากันยุงปลอด deet โดยใช้สารอื่น ๆ โดยเฉพาะสารที่สกัดได้จากพืช ที่แม้จะไม่ประสิทธิภาพในการไล่ยุงได้ดีเท่ากับ deet แต่มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้มากกว่า เช่น ตะไคร้หอม ยูคาลิปตัส กระเทียม และมะกรูด ฯลฯ ซึ่งตอนนี้ก็หาซื้อได้ง่ายในท้องตลาด

ยาฉีดไล่ยุงชนิดกระป๋อง ที่มีวางขายนั้นมีทั้งแบบที่เป็นกระป๋องทรงกระบอกอัดน้ำยาเคมีสำหรับฉีดพ่นได้ทันทีเมื่อใช้หมดแล้วไม่สามารถเติมน้ำยาเคมีใหม่ได้ และแบบที่เป็นกระป๋องสี่เหลี่ยม ซึ่งต้องเติมน้ำยาเคมีลงในกระบอกฉีดและผู้ใช้ต้องสูบฉีดน้ำยาในขณะพ่นด้วยตัวเอง เมื่อน้ำยาเคมีหมดก็สามารถเติมน้ำยาใหม่ได้

ปัจจุบันสารเคมีกำจัดยุงมีทั้งชนิดสูตรน้ำมันและชนิดสูตรน้ำ ซึ่งชนิดสูตรน้ำจะปลอดภัยต่อคนและสิ่งแวดล้อมมากกว่า รวมทั้งไม่ทำให้บ้านเรือนเปรอะเปื้อนด้วย

กำจัดยุงด้วยอุปกรณ์ไฟฟ้า มีทั้งชนิดที่เป็นกับดักไฟฟ้า ใช้ไฟบ้าน 220 โวลต์ โดยหลักการคือใช้แสงไฟล่อให้ยุงบินเข้าไปหากับดัก เมื่อยุงบินไปถูกซี่กรงที่มีไฟฟ้าจะถูกไฟฟ้าช็อตตาย

กำจัดยุงไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่ มีรูปร่างคล้ายไม้เทนนิสแต่แทนที่จะเป็นเส้นเอ็นก็เป็นซี่ลวด ซึ่งเมื่อเปิดสวิตช์ก็จะมีกระแสไฟฟ้าผ่าน ผู้ใช้ต้องโบกให้ซี่ลวดถูกตัวยุง ยุงจะถูกไฟช็อตตาย

อย่างไรก็ตาม การกำจัดยุงลายเปรียบเหมือนการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ทำได้ยาก และเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าการลดและทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลาย ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคไข้เลือดออก